วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

กินมังสวิรัติ ...>>อร่อยได้ สุขภาพดี & อิ่มบุญ<<


           คำว่า "มังสวิรัติ" นั้นเป็นคำสมาส มาจากคำว่า มังสะ แปลว่า เนื้อ รวมกับ วิรัติ แปลว่า ปราศจากความยินดีหรือละเว้น ดังนั้น มังสวิรัติ จึงแปลว่า ปราศจากความยินดีที่จะกินเนื้อสัตว์
อาหารมังสวิรัตินั้น แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
  1. มังสวิรัติประเภทเคร่งครัด เป็นมังสวิรัติที่กินอาหารจำพวกพืชผักผลไม้เพียงอย่างเดียว ไม่มีอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ไข่ นม หรือ ผลิตภัณฑ์จากไข่และนม เป็นส่วนประกอบของอาหารนั้นๆเลย
  2. มังสวิรัติประเภทที่มีการดื่มนม เป็นมังสวิรัติที่จะมีนมและผลิตภัณฑ์ของนมนอกเหนือจากพืชผักผลไม้ แต่ไม่มีเนื้อสัตว์และไข่เป็นส่วนประกอบของอาหาร
  3. มังสวิรัติประเภทดื่มนมและกินไข่ อาหารมังสวิรัติประเภทนี้มีไข่ นม และผลิตภัณฑ์ของนมนอกเหนือจากอาหารจากพืช แต่ไม่มีเนื้อสัตว์เลย

จะเห็นได้ว่า มังสวิรัติทั้ง 3 ประเภทนี้ จะไม่มีอาหารหรือส่วนประกอบที่มาจากเนื้อสัตว์เลย แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีเนื้อสัตว์เลย แต่ก็มิได้หมายความว่าจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารประเภทโปรตีน แต่คนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติสามารถได้รับสารอาหารประเภทโปรตีนจากอาหารจำพวกถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วลิสง เป็นต้น


อาหารเจกับมังสวิรัติต่างกันอย่างไร...??
             ทั้งอาหารเจและอาหารมังสวิรัติเป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียดดังนี้
         ๐ อาหารเจ นอกจากไม่มีเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีข้อห้ามว่าต้องไม่มีหอม กระเทียม ต้นกุยช่าย ผักชี และเครื่องเทศที่เผ็ดร้อนเพราะถือว่าอาหารดังกล่าวทำให้เกิดกำหนัด
         วัตถุดิบที่เป็นหลักในการประกอบอาหารเจ คือ แป้ง เต้าหู้  ซีอิ๊ว ถั่วเหลือง ถั่วต่าง ๆ และผักนานาชนิดยกเว้นผักที่กล่าวมาแล้ว  นอกจากนี้ผู้กินเจที่เคร่งครัด น้ำมันพืชที่ใช้ต้องบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์  จะไม่ใช้น้ำมันพืชสูตรผสม เช่น น้ำมันรำข้าวปนน้ำมันถั่วเหลือง ภาชนะที่ใส่อาหารเจก็ต้องเตรียมไว้เป็นพิเศษ ไม่ใช้ปะปนกับภาชนะที่ใส่เนื้อสัตว์ ปัจจุบันอาหารเจได้รับการพัฒนารูปแบบขึ้นมาก มีการทำ “หมี่กึน” ที่ทำมาจากแป้งสาลีดัดแปลงให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเนื้อสัตว์ นำมาปรุงอาหารสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถตัดขาดจากเนื้อสัตว์ได้เด็ดขาด

           ๐   ส่วนอาหารมังสวิรัติ โดยรูปศัพท์หมายถึงการงดเว้นเนื้อสัตว์ (มังสะ=เนื้อสัตว์  วิรัติ=การงดเว้น) ภาษาอังกฤษเรียกว่า  Vegetarian
     ผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติมีสองกลุ่ม กลุ่มแรก ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ยังคงบริโภคไข่และนม กลุ่มที่สอง ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่บริโภคไข่และนมด้วยอาหารมังสวิรัติงดเนื้อสัตว์เหมือนกับอาหารเจ รวมทั้งเครื่องปรุงรสที่ทำมาจากสัตว์ เช่น กะปิ น้ำปลา แต่ต่างกับอาหารเจตรงที่ไม่ห้ามบริโภคกระเทียม หัวหอม ต้นกุยช่าย หรือผักที่มีกลิ่นแรงตลอดจนเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน อาหารมังสวิรัติสามารถบริโภคได้ทั้งปี  ไม่มีเทศกาลเหมือนอาหารเจ  ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง  เพราะได้งดเนื้อสัตว์ซึ่งมีไขมันและสารอื่น ๆ มากมาย นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ต่อจิตใจเพราะไม่จะเบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย

ประโยชน์ของอาหารมังสวิรัติ
               เนื่องจากอาหารมังสวิรัติปรุงจากพืช ผัก ผลไม้ นมและไข่ ดังนั้นจึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ทำให้ร่างกายได้รับคุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์ มีกากใยอาหารมาก ช่วยการทำงานของระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดี ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้
บางคนอาจจะมีความกังวลใจเรื่องสารอาหารบางอย่างเช่นโปรตีน ว่าจะมีไม่ครบถ้วนในอาหารมังสวิรัติ แต่ในความเป็นจริงแล้วโปรตีนนั้นเราสามารถได้รับจากพืชด้วย ไม่ใช่จากเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียว พืชที่ให้โปรตีนสูงเช่น เห็ดทุกชนิด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ผักขม มะรุม และถั่วพู เป็นต้น เป็นความจริงที่ว่าการรับโปรตีนจากพืชเพียงอย่างเดียว ร่างกายอาจจะได้รับกรดอะมิโนที่จำเป็นไม่ครบถ้วน แต่จะสามารถทำให้ครบถ้วนได้ด้วยการรับประทานนมและไข่ด้วย


    



    




      
             "การกินเนื้อสัตว์ เหมือนเราเอาซากศพเข้าไปไว้ในท้อง เนื่องจากลำไส้มนุษย์จะยาว ผิดกับสัตว์กินเนื้อที่มีลำไส้สั้นแค่ 3 เท่าของร่างกาย นั่นเป็นผลดีสำหรับพวกมัน ในขณะที่สัตว์กินพืชมีความยาวของลำไส้ประมาณ 12 เท่าของร่างกาย ทำให้อาหารที่กินเข้าไปมีเวลาอยู่ในท้องได้นาน แต่เมื่อมันกินแต่พืชผักก็ไม่เป็นปัญหา เพราะอาหารเหล่านั้นย่อยและขับออกมาจากร่างกายได้ง่าย มนุษย์ก็เหมือนกับสัตว์กินพืชที่มีลำไส้ยาว การกินผักจึงดีกว่าเนื้อสัตว์อย่างแน่นอน"  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา 
             


 นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ควรลดเนื้อสัตว์ลงมาบ้าง  เพราะ นอกจากจะย่อยยาก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ ตามมาในภาย หลังแล้ว ยังทำให้มนุษย์อายุสั้นอีกด้วย .

เคล็ดลับการเป็นนักมังสวิรัติโดยสมบูรณ์
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
        
  ทำจิตใจให้เข้มแข็ง

         คุณต้องมีความพร้อมในด้านสภาพจิตใจ ต้องแน่วแน่มั่นใจว่าคุณจะเปลี่ยนวิถีการรับประทานได้ 
  พยายามจดหาข้อมูลสิ่งที่เราจะทาน

          เมื่อคิดที่จะเป็นนักมังสวิรัติ คุณต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตหลาย ๆ อย่าง ต้องเริ่มมองหาร้านอาหารมังสวิรัติ หรือร้านค้าที่คุณจะสามารถหาซื้อสิ่งเหล่านั้นได้ และควรจะรู้ถึงส่วนประกอบของอาหารนั้น ๆ ด้วย

  ควรบอกครอบครัวและเพื่อนฝูง
  ทดแทนด้วยอาหารที่มีคุณค่าอย่างเหมาะสม

  ซื้อคู่มือทำอาหารมังสวิรัติมาอ่าน

  ควรเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ

        ค่อย ๆ ลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ลง และค่อย ๆ เพิ่มอาหารมังสวิรัติในแต่ละมื้อทีละนิด ค่อย ๆ ทำไปแล้วคุณจะพบว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลง

  มองหาเนื้อสัตว์ทดแทน

          มีผลิตภัณฑ์อาหารหลายอย่างที่สามารถนำมาทดแทนอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ได้ โดยรสชาติแทบจะเหมือนกับเนื้อวัว เนื้อไก่ ทั้งสิ้น ซึ่งอาหารเหล่านี้ถือเป็นทางเลือกในการเปลี่ยนวิถีการกินให้ง่ายขึ้น อาจจะเน้นหนักกับ "ถั่วเหลือง" ก็ได้ เพราะถั่วเหลืองเองก็เป็นอีกอย่างหนึ่งของอาหารจำพวกนี้เช่นกัน
  หมั่นตรวจสอบคุณค่าทางอาหาร

          คุณจะต้องกินอาหารมังสวิรัติในประมาณที่สูงกว่าอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ร่างกายของคุณนั้นต้องการปริมาณแคลอรี่ในระดับเดิมทุกวัน ทำให้แน่ใจว่าคุณได้รับ 1,200 แคลอรี่ หรือมากกว่า ต่อวัน

          การเปลี่ยนแปลงเพื่อมารับประทานอาหารมังสวิรัตินั้นเป็นการตัดสินใจทำเพื่อสุขภาพ แต่เราต้องมีวินัยอย่างมากแล้วควบคุมตนเองให้แน่วแน่  โดยจากเคล็ดลับนี้ มั่นใจได้เลยว่าจะช่วยการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของคุณให้สำเร็จได้แน่นอน



รวมเมนูมังสวิรัติ ^^







ขอขอบคุณข้อมูลจาก : 
              1.) http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4 

2.)  http://www.ranthong.com/smf/index.php?topic=23535.0;wap2


6.)    เมนูมังสวิรัติ

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เล่นอูคูเลเล่ง่ายๆ ด้วยตัวเรา

เล่นอูคูเลเล่ง่ายๆ ด้วยตัวเรา ^^


                   (ภาพ1)                                                (ภาพ2)

มาทำความรู้จักเบื้องต้นกันก่อน...
        =>  Ukulele (อูคูเลเล่)

             เป็นเครื่องดนตรีที่มีต้นกำเนิดมาจากฮาวาย ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 หรือเมื่อประมาณ 150 ปีก่อน โดยเริ่มจากที่นักดนตรีโปรตุเกสคนหนึ่งที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังชายฝั่ง Hanolulu ของฮาวาย และหอบเอาเครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์จิ๋วที่เรียกว่า Cavaquinho มาด้วย จนสร้างความสนใจให้กับชาวพื้นเมืองฮาวายเป็นอย่างมากในสมัยนั้น และในที่สุดก็ได้มีการดัดแปลงเครื่องดนตรีจากโปรตุเกสดังกล่าวให้กลายเป็น อูคูเลเล่ ใช้สำหรับให้ความบันเทิงและสนุกสนานในหมู่เกาะฮาวาย และมันก็ถูกนำไปใช้กันอย่างกว้างขวางในหมู่เกาะนับตั้งแต่นั้นมา จนเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1950 ได้มีการนำอูคูเลเล่ไปเล่นทั่วโลก และได้รับความนิยมอย่างมากมาย จึงทำให้อูคูเลเล่เปลี่ยนจากเครื่องดนตรีพื้นเมืองฮาวาย กลายมาเป็นเครื่องดนตรีสากลในที่สุด



9 ขั้นตอนง่ายๆในการเริ่มต้นและฝึกเล่นอูคูเลเล่ 

by Ukulelethai.com :)


1) ข้อมูลเกี่ยวกับอูคูเลเล่เบื้องต้น และวีธีการเลือกซื้อ
     http://www.ukulelethai.com/component/content/article/33-ukulele-buying-guide.html
2) การตั้งเสียงอูคูเลเล่
     http://www.youtube.com/watch?v=OokQ3GK8NHU&feature=plcp
3) การจับและการดีดอูคูเลเล่ พื้นฐาน
     http://www.youtube.com/watch?v=RDUwj4QRz2I&feature=plcp
4) การ Strumming คอร์ด อูคูเลเล่ พื้นฐาน
     http://www.youtube.com/watch?v=Kq9YceW75nA&feature=plcp
5) การบริหารนิ้วด้วย C Scale กับ Ukulele
     http://www.youtube.com/watch?v=Y2w5j86nN18&feature=plcp
6) เทคนิคการเกาอูคูเลเล่เบื้องต้น
     http://www.youtube.com/watch?v=dkbkzesojEM&feature=plcp
7) เทคนิคการเกาอูคูเลเล่แบบเพิ่ม Melody
     http://www.youtube.com/watch?v=o7vJL8Xcwe8
8) คลิปสอนเพลง I'm yours - Ukulele by Tontegela
     http://www.youtube.com/watch?v=UCG3nyfXVd4&feature=plcp
9) เทคนิคการหยุดสายอูคูเลเล่(chunk) by tontegela
     http://www.youtube.com/watch?v=tTtrbg4j-tw

(ภาพ3)

ฝึกการจับคอร์ดอูคูเลเล่เบื้องต้น

คอร์ดที่จะยกตัวอย่างมีแค่ 4 คอร์ด ก็เล่นเป็นเพลงได้แล้วค่ะ
           เริ่มที่คอร์ดแรก  มีชื่อว่าคอร์ด C  ดูตัวอย่างตามรูปนะคะ  ใช้นิ้วนางกดสายที่ 1 เฟรตที่ 3  แล้วดีด แค่นี้เพื่อนๆก็จะได้คอร์ด C ตามต้องการค่ะ

           ต่อมาเป็นคอร์ด G ให้เพื่อนๆใช้นิ้วกลางกดสายที่ 1 เฟรตที่ 2  นิ้วชี้กดสายที่ 3 เฟรตที่ 2 และนิ้วนางกดที่สายที่ 2 เฟรตที่ 3  คอร์ดนี้จะเหมือนคอร์ด D ของกีตาร์ค่ะ
          
           คอร์ด Am คอร์ด นี้ก็ใช้แค่นิ้วเดียวเหมือนคอร์ด C เพียงแต่ว่าใช้นิ้วกลางกดที่สายที่ 4 เฟรตที่ 2 ค่ะ 

และคอร์ดสุดท้ายคือคอร์ด F ค่ะ  ง่ายมากเลยค่ะใช้นิ้วสองนิ้ว คือ นิ้วชี้กดที่สายที่ 2 เฟรตที่ 1 และใช้นิ้วกลางกดที่สายที่ 4 เฟรตที่ 2 ค่ะ 


รวมคอร์ดเพลงง่ายๆ 
1. The Show  => http://www.ukulover.com/song/lenka-560.htm
2. เบา เบา Singula  => http://www.ukulover.com/song/singular-1.htm
3.เธอคือของขวัญ  => http://www.ukulover.com/song/singto-numchoke-102.htm
4.I'm your  => http://www.ukulover.com/song/jason-mraz-4.htm
5.ความหวาน => http://www.ukulover.com/song/lula-270.htm
6. แค่คุณ => http://www.ukulover.com/song/musketeers-1112.htm
7.ไกลแค่ไหนคือใกล้ => http://www.ukulover.com/song/getsunova-939.htm
8.The lazy song => http://www.ukulover.com/song/bruno-mars-19.htm

** ดูเพลงเพิ่มเติมได้จาก http://www.ukulover.com/




ขอขอบคุณข้อมูลจาก : 


(ภาพ1)
https://www.google.co.th/search?um=1&hl=th&tbm=isch&sa=1&q=%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88&oq=%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88&gs_l=img.3...2348898.2350223.0.2350377.3.3.0.0.0.0.0.0..0.0....0...1c.1.25.img..3.0.0.RAkmPnWlIdM&bav=on.2,or.r_qf.&bvm=bv.51156542%2Cd.bmk%2Cpv.xjs.s.en_US.iz6Z5q8RWbs.O&biw=1280&bih=709&ech=1&psi=yQoeUvShO8SzrAfzyoDoAw.1377700735515.1&emsg=NCSR&noj=1&ei=yQoeUvShO8SzrAfzyoDoAw#facrc=_&imgdii=_&imgrc=vQgLcS--GPuAPM%3A%3BFHNOZ-iY-ONLbM%3Bhttp%253A%252F%252Fs.exaidea.com%252Fupload%252F1%252F20110825%252Fe9eb8f1d06e7a45277a02efa3ed82112.jpg%3Bhttp%253A%252F%252Fmarket.onlineoops.com%252F92454%3B461%3B346
 (ภาพ2)
https://www.google.co.th/search?um=1&hl=th&tbm=isch&sa=1&q=%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88&oq=%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88&gs_l=img.3...2348898.2350223.0.2350377.3.3.0.0.0.0.0.0..0.0....0...1c.1.25.img..3.0.0.RAkmPnWlIdM&bav=on.2,or.r_qf.&bvm=bv.51156542%2Cd.bmk%2Cpv.xjs.s.en_US.iz6Z5q8RWbs.O&biw=1280&bih=709&ech=1&psi=yQoeUvShO8SzrAfzyoDoAw.1377700735515.1&emsg=NCSR&noj=1&ei=yQoeUvShO8SzrAfzyoDoAw#facrc=_&imgdii=_&imgrc=_nm8N3qqQkN7pM%3A%3BkFzzYP0mA8ac3M%3Bhttp%253A%252F%252Fwww.weloveshopping.com%252Fshop%252Fclient%252F000036%252Fjohnpiano%252Fuk1C.jpg%3Bhttp%253A%252F%252Fwww.weloveshopping.com%252Fshop%252Fshowproduct.php%253Fpid%253D18903346%2526shopid%253D180140%3B640%3B415


(ภาพ3)
https://www.google.co.th/search?um=1&hl=th&biw=1280&bih=709&noj=1&tbm=isch&sa=1&q=%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88&oq=%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88&gs_l=img.3...1439192.1441530.0.1442225.2.2.0.0.0.0.0.0..0.0....0...1c.1.25.img..2.0.0.i9SMvmzKTp4#facrc=_&imgdii=_&imgrc=TAjeDg4FeT3kPM%3A%3BJlnng5xl0FWM6M%3Bhttp%253A%252F%252Fwww.ukulelelover.com%252Fwebboard%252Fattach%252FA%252F31.jpg%3Bhttp%253A%252F%252Fwww.ukulelelover.com%252Findex.php%253Froute%253Dinformation%252Finformation%2526information_id%253D9%2526m%253D1%2526q_id%253D21%3B630%3B378

ข้อมูลเบื้องต้น

 (http://musicstation.kapook.com/view19265.html)


ข้อมูล 9ขั้นตอน

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เจาะลึกเบื้องหลัง ชานมไข่มุก...คุณหรือโทษ?

เจาะลึกเบื้องหลัง 
ชานมไข่มุก...คุณหรือโทษ?

ชานมไข่มุก



ขอขอบคุณข้อมูลจาก ทิวาพร มณีรัตนศุภร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

โดย ทิวาพร มณีรัตนศุภร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล


          ปัจจุบัน เครื่องดื่มคลายร้อนชนิดต่าง ไม่ว่าจะเป็นชาเย็น กาแฟเย็น น้ำผลไม้ปั่น ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ชานมไข่มุกก็เป็นเครื่องดื่มอีกชนิดหนึ่งที่กลายเป็นกระแสนิยมที่มาแรงในขณะนี้ โดยเห็นได้จากจำนวนร้านค้าชานมไข่มุกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จะมีสักกี่คนที่รู้คุณค่าทางโภชนาการของเครื่องดื่มที่กำลังมาแรงในขณะนี้
          
          การศึกษามากมายที่ระบุถึงประโยชน์ของการดื่มน้ำชาเพื่อสุขภาพ เช่น สามารถช่วยลดความดันโลหิต ลดไขมันในหลอดเลือด และการมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคมะเร็ง ซึ่งประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของชาและความเข้มข้นในการบริโภคแต่การบริโภคชาเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน คือ การดื่มชาในปริมาณที่มากเกินไปอาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น ท้องผูก นอนไม่หลับ เป็นต้น
         
        แต่ชานมไข่มุก 1 แก้ว มิได้มีเพียงแต่น้ำชาเท่านั้น แต่ยังมีน้ำเชื่อม ครีมเทียม และไข่มุกเพิ่มขึ้นมาข้อมูลทางโภชนาการระบุว่าชานมไข่มุก1แก้วให้พลังงาน240-360กิโลแคลอรี่(คาร์โบไฮเดรต 45-62 กรัม, ไขมัน 0-14 กรัม, โปรตีน 0.4-2 กรัม) ความแตกต่างของพลังงานและสารอาหารขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำเชื่อมและครีมเทียมที่ใส่ลงไป
       
       โดยไข่มุกที่อยู่ในชานมไข่มุกนั้น ผลิตมาจากแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งจัดอยู่ในอาหารหมวดเดียวกับแป้งและน้ำตาล โดยไข่มุก 30 กรัม ให้พลังงาน 100 กิโลแคลอรี่ ซึ่งพลังงานที่ได้จากการดื่มชานมไข่มุกใกล้เคียงกับการรับประทานก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ 1ชาม ที่ให้พลังงาน 326 กิโลแคลอรี่ (คาร์โบไฮเดรต 41 กรัม, ไขมัน 8 กรัม, โปรตีน 21 กรัม) หรือเปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลที่ได้รับจากชานมไข่มุกจะเท่ากับข้าว 3-4 ทัพพี

    มีการศึกษาวิจัยพบว่า การดื่มชาคู่กับนมหรือน้ำตาลจะลดคุณสมบัติของชาในการต้านอนุมูลอิสระ ยิ่งไปกว่านั้น น้ำตาลที่ใส่ในน้ำชายังถือเป็นสิ่งที่ให้พลังงานสูญเปล่า หมายถึงสิ่งที่ให้พลังงานที่มาจากคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวโดยไม่มีสารอาหารอย่างอื่นที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งมีการศึกษาระบุว่า การดื่มน้ำตาลในปริมาณมาก อย่างต่อเนื่อง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือดเหมือนกับการดื่มน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มประเภทชาเขียวพร้อมดื่มที่มีวางจำหน่ายทั่วไป 
          
     นอกจากนี้ ครีมเทียมที่ใส่ลงในชานม ไขมันส่วนใหญ่จะผลิตจากไขมันปาล์มซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวสูง โดยเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าการบริโภคกรดไขมันอิ่มตัวเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
         
     ดังนั้น การบริโภคชานมไข่มุกเป็นประจำอาจนำไปสู่การเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งการดื่มชานมไข่มุกที่เหมาะสมคือ การดื่มโดยคำนึงถึงพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน โดยการทดแทนการดื่มชานมไข่มุกกับการลดการบริโภคอาหารในกลุ่มข้าว แป้งหรือการลดปริมาณน้ำตาลที่ใส่ในชานมไข่มุกที่คุณสั่ง และหลีกเลี่ยงการใส่ครีมเทียมลงไปในชานมไข่มุกที่คุณสั่ง เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถลดอันตรายที่มาจากชานมไข่มุกได้



ขอขอบคุณข้อมูลจาก :ทิวาพร มณีรัตนศุภร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล 
                 
                http://health.kapook.com/view65613.html

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดื่มน้ำแค่ไหน..จึงเหมาะกับคุณ??







            ปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวันเป็นสิ่งสำคัญ คนดื่มน้ำน้อยเลือดจะข้น ระบบไหลเวียนของเหลวในร่างกายผิดปกติ ผิวพรรณหยาบกร้าน รวมทั้งอาจเกิดการเจ็บป่วยต่างๆ แต่หากดื่มน้ำมากเกินไปจะทำให้ไตทำงานหนัก ส่งผลให้ปวดศีรษะ อาเจียน กล้ามเนื้อเป็นตะคริว ความดันสูง น้ำหนักมากขึ้น ร่างกายบวมน้ำ รวมถึงอาจส่งผลถึงระบบสืบพันธุ์ 


  แล้วในแต่ละวันเราควรดื่มน้ำปริมาณเท่าไร และดื่มน้ำอะไรถึงจะปลอดภัย ?? 

สูตรคำนวณปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะกับคุณ  


            องค์การอนามัยโลกได้กำหนดสูตรคำนวณปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของแต่ละคน ในแต่ละวันไว้ดังนี้

(1000 C.C. = 1 ลิตร, 1 ลิตร = 5 แก้ว)



            สมมติว่ามีน้ำหนักตัว 55 กิโลกรัม 55/2 x 2.2 x 30 = 1815 C.C. 1815 C.C. = 1.8 ลิตร 1.8 ลิตร = 9 แก้ว เมื่อทราบปริมาณน้ำดื่มต่อวันแล้ว จะต้องมีเทคนิคในการดื่มน้ำให้เกิดประโยชน์กับร่างกายมากที่สุดด้วย เทคนิคง่าย ๆ ที่ว่านั้นมีอยู่ 2 ข้อคือ

            หลังตื่นนอน ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำทันที 2-5 แก้ว เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ควรเป็นน้ำธรรมดา หรือน้ำอุ่น ไม่ใช่น้ำเย็น ที่ต้องดื่มตอนเช้าเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายขับสารพิษได้ดีที่สุด ดื่มน้ำแต่น้อยระหว่างรับประทานอาหาร ไม่ควรเกิน 1 แก้ว หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาทีจึงค่อยดื่มน้ำตาม เพื่อให้กระเพาะย่อยอาหารได้เต็มที่ ที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น เพราะจะไปรบกวนการย่อย แล้วทุกวันนี้เราดื่มน้ำอะไรกันอยู่
 น้ำประปาดื่มได้  
          ปัจจุบัน น้ำประปาของการประปานครหลวงผ่านการผลิตและควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอนตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก จึงดื่มได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบเดินท่อประปาในบ้าน ท่อเหล็กมีอายุใช้งานไม่เกิน 5 ปี ที่ปลอดภัยที่สุดคือท่อพลาสติก เพราะไม่เป็นสนิม การต้มน้ำประปาจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในน้ำและลดความกระด้างไปพร้อมกัน ทั้งยังลดกลิ่นคลอรีนได้ด้วย ส่วนน้ำประปาที่ผ่านระบบกรอง ก็ขึ้นอยู่กับตัวกรองที่เลือกใช้ บางบ้านอาจใช้ตัวกรองถ่าน (Activated carbon) และเรซิน (Resin) ซึ่งก็สะอาดเพียงพอใกล้เคียงน้ำบรรจุขวด เว้นแต่ไม่ได้ผ่นขั้นตอนการฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตร้าไวโอเลตหรือโอโซน
 น้ำดื่มบรรจุขวด 
 
          The International Bottled Water Association หรือสมาคมน้ำบรรจุขวดนานาชาติ ได้ให้นิยามของน้ำบรรจุขวดไว้ว่า
 น้ำดื่ม (Drinking Water) น้ำดื่มในบ้านเรานั้นได้มาจากแหล่งน้ำบาดาลและน้ำประปา ผ่านการกรองชั้นถ่านเพื่อดูดกลิ่น ตามด้วยการผ่านสารเรซินเพื่อลดความกระด้าง ขั้นตอนสุดท้ายคือการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่อาจปนเปื้อนในน้ำด้วยการผ่านแสงอุลตร้าไวโอเลตหรือก๊าซโอโซน ที่เราเรียกกันจนคุ้นเคยว่าน้ำUV หรือน้ำโอโซนนั่นเอง

 
น้ำธรรมชาติ (Natural Water) คือ น้ำใต้ดิน รวมทั้งน้ำพุ(Spring) น้ำแร่(Mineral) น้ำบ่อ(Well) และน้ำพุที่เจาะขึ้นมาจากแหล่งใต้ดิน (Artesian Well) ไม่นับรวมแหล่งน้ำสาธารณะและน้ำประปา ในการผลิตน้ำธรรมชาติห้ามใช้กระบวนการอื่นใดนอกจากการกรองเศษฝุ่นละอองและการฆ่าเชื้อโรค ด้วยวิธีการผลิตดังกล่าวจึงทำให้น้ำแร่บรรจุขวดมีความใกล้เคียงกับน้ำจากแหล่งกำเนิดมาก และการที่น้ำแร่มีคุณสมบัติแตกต่างกันตามแหล่งน้ำธรรมชาตินี้เอง จึงต้องมีการกำหนดค่าปริมาณเกลือแร่ ซึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กและสตรีมีครรภ์ที่มีระบบย่อยอาหารไม่ดีเท่าคนทั่วไป เพราะน้ำแร่จะออกฤทธิ์เป็นยาระบาย หากมีปริมาณซัลเฟตมากกว่า 600 มิลลิกรัมต่อลิตร (ยกเว้นแคลเซียมซัลเฟต) 

น้ำเพียวริไฟด์ (Purified Water) เรียกง่ายๆ ว่าน้ำกลั่น เป็นน้ำที่ผลิตด้วยการกลั่น คือต้มน้ำจนเดือดแล้วระเหยกลายเป็นไอ เมื่อไอน้ำกระทบพื้นผิวที่เย็นจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ หรืออีกวิธีคือ การใช้กระแสไฟฟ้าแยกเกลือแร่ (Deionization) ที่ปนอยู่ออก แล้วน้ำไปผ่านขั้นตอนการกรองด้วยวัสดุที่มีรูขนาดเล็ก 0.0006 ไมครอน (1 เมตรเท่ากับ 1 ล้านไมครอน) เมื่อแร่ธาตุต่างๆ ถูกกรองออกหมดจะได้น้ำที่บริสุทธิ์มากจนแทบไม่เหลือความกระด้างอยู่เลย แต่ที่จริงแล้วร่างกายคนเราก็ไม่จำเป็นต้องได้รับน้ำบริสุทธิ์ขนาดนั้น
ขวดแบบไหนเหมาะใส่น้ำดื่ม
ขวดที่นิยมใช้บรรจุน้ำดื่มในปัจจุบัน มี 4 ชนิด คือ ขวดแก้วใส ขวดพลาสติกใสและแข็ง (Polystyrene) ขวดพลาสติกเพท (Polyethylene terephthalate, PET) ซึ่งมีลักษณะใสและกรอบ และสุดท้าย ขวดพลาสติกขาวขุ่น (High-density polyethylene, HDPE)
          ขวด 3 ชนิดแรกใช้บรรจุน้ำดื่มได้ดีกว่าขวดพลาสติกสีขาวขุ่น เคยมีการทดลองนำน้ำดื่มบรรจุขวดสีขาวขุ่นไปตั้งกลางแดดนานๆ จะมีกลิ่นของพลาสติกปนมากับน้ำ แม้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค แต่ก็ทำให้คุณภาพของน้ำลดลง ข้อเสียอีกประการหนึ่งคือ ขวดขาวขุ่นไม่เหมาะที่จะนำมารีไซเคิล ต่างจากขวดอีกสามชนิดที่รีไซเคิลง่ายและใช้ได้ทนทานกว่า ส่วนวันหมดอายุของน้ำดื่มบรรจุขวดนั้นคือประมาณ 2 ปี นับจากวันผลิตที่ระบุไว้บนฉลาก



          รู้เรื่องน้ำดื่มดีขึ้นแล้ว ลองคำนวนให้เหมาะสมและปลอดภัยกับตัวเรานะคะ 


ขอบคุณข้อมูล จาก: http://www.thaigoodview.com/node/44624
                       http://hilight.kapook.com/view/22404